“มะเร็งตับ” ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งมีโอกาสรอด
มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma) เป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งในประเทศไทยของเพศชาย และเป็นสาเหตุการตายอันดับสามของเพศหญิงรองมาจาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากประเทศในแถบเอเชีย มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นสาเหตุสำคัญของตับแข็งและมะเร็งตับ นอกจากนี้สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับยังได้แก่
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ไขมันเกาะตับ ซึ่งนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด
ทำไมถึงควรคัดกรองมะเร็งตับ
เนื่องจากมะเร็งตับในระยะแรกในขณะที่ก้อนยังเล็ก มักไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่เจอจากการตรวจคัดกรอง หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ช่วงนี้ การรักษาจะมีโอกาสหายขาดสูง เนื่องจากการรักษาจะสามารถทำให้ก้อนหมดไปได้ แต่หากละเลยไม่ทำการคัดกรองสม่ำเสมอ จนมีอาการของมะเร็งตับแล้วการรักษาจะยากและโอกาสหายขาดน้อย เนื่องจากขนาดก้อนจะใหญ่ขึ้น สภาพตับที่มักมีตับแข็งอยู่แล้วจะแย่ลง มีโอกาสที่ก้อนจะกระจายออกนอกตับหรือติดอวัยวะสำคัญจนไม่สามารถผ่าตัด หรือใช้การรักษาอื่น ๆ ให้หายขาดได้
ผู้ป่วยกลุ่มไหนควรคัดกรองมะเร็งตับ
เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีใช้นิวเคลียสของเซลล์ตับในการแบ่งตัวและสร้าง DNA จึงทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของ DNA ในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้โดยตรงถึงแม้ไม่มีภาวะตับแข็งก็ตาม และ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 100 เท่า ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีที่ มีข้อบ่งชี้ต่าง ๆต่อไปนี้ ควรคัดกรองมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอด้วยการทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบนร่วมกับการเจาะเลือดหาค่ามะเร็งตับ AFP ทุก 6 เดือน ได้แก่
ผู้ป่วยเพศชายชาวเอเชียอายุมากกว่า 40 ปี
ผู้ป่วยเพศหญิงชาวเอเชียอายุมากกว่า 50 ปี
ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับชนิด HCC
ผู้ป่วยชาวแอฟริกันอายุมากกว่า 50 ปี
นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจาก ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี แอลกอฮอล์ ไขมันเกาะตับ genetic hemochomatosis, Primary billiary cirrhosis ควรทำการคัดกรองมะเร็งตับทุก 6 เดือน เช่นกัน
อาการของมะเร็งตับมีอะไรบ้าง?
ผู้ป่วยจำนวนมากอาจไม่มีอาการใดเลยในระยะแรกของมะเร็งตับขณะที่ตับยังทำงานได้ปกติ เมื่อมะเร็งตับเริ่มลุกลามจนเป็นเหตุให้ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดังนี้
ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณข้างขวาด้านบน ผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดร้าวที่หลังหรือไหล่ร่วมด้วย
ท้องบวมจากการสะสมของน้ำในช่องท้อง
น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ
เบื่ออาหาร
อ่อนเพลีย
มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ
ตับโต จนคลำแล้วรู้สึกเป็นก้อนได้ที่บริเวณตับ
ตัวเหลือง ตาเหลือง
คลื่นไส้ อาเจียน
หากตัวโรคมีการลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตจากภาวะตับวายเช่น กินไม่ได้ ซึม สับสน ตาเหลือง ท้องมาน ไตวาย เลือดออกจากเส้นเลือดโป่งพองที่หลอดอาหาร ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเสียชีวิตจากตัวโรคที่กระจายไปอวัยวะต่างๆ
สามารถป้องกันมะเร็งตับได้อย่างไร?
แม้มะเร็งตับจะเป็นโรคที่ร้ายแรงแต่ผู้มีความเสี่ยงสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคมะเร็งตับได้ดังนี้
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีทุกรายควรพบแพทย์สม่ำเสมอ ทุก 3-6 เดือน เพื่อติดตามค่าตับและให้ยารักษาหากมีข้อบ่งชี้ รวมถึงคัดกรองมะเร็งตับตามข้อบ่งชี้
ผู้ที่ทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการรักษาทุกราย
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอออล์
ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแต่แรกเกิด
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin)เนื่องจากสารพิษชนิดนี้สามารถทนความร้อนได้สูง ไม่สามารถทำลายได้ผ่านการทำอาหาร เช่น หัวหอม, ถั่วลิสง, พริกแห้ง และกระเทียมราขึ้น
มะเร็งตับสามารถรักษาหายได้ไหม?
มะเร็งตับที่ถูกตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก ไม่มีการกระจายออกนอกตับ และผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากตับแข็ง สามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัดซึ่งเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด ถ้าสภาพร่างกายหรือตำแหน่งก้อนไม่เหมาะที่จะทำการผ่าตัดอาจรักษาโดยใช้การจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยคลื่นไมโครเวฟ(microwave ablation) แต่หากก้อนมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถผ่าตัดได้อาจรักษาด้วย การใส่สายสวนเพื่ออุดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง (TACE) การใส่สายสวนเพื่อให้ยาเคมีบำบัดเข้าก้อนมะเร็งอย่างช้าๆ (DEB-TACE) แต่หากมีการกระจายของมะเร็งเข้าสู้เส้นเลือด หรือ กระจายออกนอกตับ อาจต้องใช้วิธีรักษาด้วยยาเช่น ยาพุ่งเป้า(targeted therapy), การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherpay) ทั้งนี้โอกาสการรักษามะเร็งตับให้หายขึ้นอยู่กับสภาวะตับแข็ง ขนาด จำนวน การการะจายออกนอกตับและตำแหน่งของมะเร็งตับที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ การตรวจคัดกรองมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โดย เฉพาะผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีและผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งซึ่งทำให้เจอมะเร็งตับตั้งแต่ ระยะแรก ๆ และทำให้รักษามะเร็งตับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
บริการจากโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนขอเสนอบริการ โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งตับ ที่ช่วยตรวจประเมินสภาพและการทำงานของตับ นอกจากนี้การพบแพทย์ช่วยตรวจดูเลือดดูเอนไซม์ตับและทำอัลตราซาวด์ เพื่อป้องกันการเกิดโรคได้แก่ ตับติดเชื้อไวรัส ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ
ขอขอบคุณบทความจาก นายแพทย์ธราธิป ประคองวงษ์
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
● ชั้น 2 อาคารหมอบรัดเลย์ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
● เวลาทำการ
» ทุกวัน เวลา 06.30-19.30 น.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม, นัดหมายแพทย์ได้ที่
☎ 0-2625-9000, 0-2760-9000 ต่อ 20230, 20231
ตรวจสุขภาพ
● ชั้น 2 อาคารหมอแวลส์ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
● เวลาทำการ
» จันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-16.00 น.
» เสาร์ เวลา 07.00-15.00 น.
» อาทิตย์ 07.00-12.00 น.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม, นัดหมายแพทย์ได้ที่
☎ 0-2625-9000, 0-2760-9000 ต่อ 30210, 30211