“มะเร็งตับ” ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งมีโอกาสรอด
แชร์ :
29 April 2568

“มะเร็งตับ” ยิ่งรู้ตัวเร็ว ยิ่งมีโอกาสรอด

มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma)  เป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งในประเทศไทยของเพศชาย และเป็นสาเหตุการตายอันดับสามของเพศหญิงรองมาจาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากประเทศในแถบเอเชีย มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นสาเหตุสำคัญของตับแข็งและมะเร็งตับ นอกจากนี้สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับยังได้แก่

  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี

  •  การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ไขมันเกาะตับ ซึ่งนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด  

ทำไมถึงควรคัดกรองมะเร็งตับ

   เนื่องจากมะเร็งตับในระยะแรกในขณะที่ก้อนยังเล็ก มักไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่เจอจากการตรวจคัดกรอง หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ช่วงนี้ การรักษาจะมีโอกาสหายขาดสูง เนื่องจากการรักษาจะสามารถทำให้ก้อนหมดไปได้ แต่หากละเลยไม่ทำการคัดกรองสม่ำเสมอ จนมีอาการของมะเร็งตับแล้วการรักษาจะยากและโอกาสหายขาดน้อย เนื่องจากขนาดก้อนจะใหญ่ขึ้น สภาพตับที่มักมีตับแข็งอยู่แล้วจะแย่ลง มีโอกาสที่ก้อนจะกระจายออกนอกตับหรือติดอวัยวะสำคัญจนไม่สามารถผ่าตัด หรือใช้การรักษาอื่น ๆ ให้หายขาดได้ 

ผู้ป่วยกลุ่มไหนควรคัดกรองมะเร็งตับ

       เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีใช้นิวเคลียสของเซลล์ตับในการแบ่งตัวและสร้าง DNA จึงทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของ DNA ในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้โดยตรงถึงแม้ไม่มีภาวะตับแข็งก็ตาม และ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 100 เท่า ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีที่ มีข้อบ่งชี้ต่าง ๆต่อไปนี้ ควรคัดกรองมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอด้วยการทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบนร่วมกับการเจาะเลือดหาค่ามะเร็งตับ AFP ทุก 6 เดือน ได้แก่

  • ผู้ป่วยเพศชายชาวเอเชียอายุมากกว่า 40 ปี

  • ผู้ป่วยเพศหญิงชาวเอเชียอายุมากกว่า 50 ปี

  • ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตับชนิด HCC

  • ผู้ป่วยชาวแอฟริกันอายุมากกว่า 50 ปี

นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจาก ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี แอลกอฮอล์ ไขมันเกาะตับ genetic hemochomatosis, Primary billiary cirrhosis  ควรทำการคัดกรองมะเร็งตับทุก 6 เดือน เช่นกัน

อาการของมะเร็งตับมีอะไรบ้าง? 

ผู้ป่วยจำนวนมากอาจไม่มีอาการใดเลยในระยะแรกของมะเร็งตับขณะที่ตับยังทำงานได้ปกติ เมื่อมะเร็งตับเริ่มลุกลามจนเป็นเหตุให้ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดังนี้

  • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณข้างขวาด้านบน ผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดร้าวที่หลังหรือไหล่ร่วมด้วย

  • ท้องบวมจากการสะสมของน้ำในช่องท้อง

  • น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ

  • เบื่ออาหาร

  • อ่อนเพลีย

  • มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ

  • ตับโต จนคลำแล้วรู้สึกเป็นก้อนได้ที่บริเวณตับ

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

  • คลื่นไส้ อาเจียน

หากตัวโรคมีการลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตจากภาวะตับวายเช่น กินไม่ได้ ซึม สับสน ตาเหลือง ท้องมาน ไตวาย เลือดออกจากเส้นเลือดโป่งพองที่หลอดอาหาร ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเสียชีวิตจากตัวโรคที่กระจายไปอวัยวะต่างๆ

 

สามารถป้องกันมะเร็งตับได้อย่างไร?

แม้มะเร็งตับจะเป็นโรคที่ร้ายแรงแต่ผู้มีความเสี่ยงสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคมะเร็งตับได้ดังนี้

  • ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีทุกรายควรพบแพทย์สม่ำเสมอ ทุก 3-6 เดือน เพื่อติดตามค่าตับและให้ยารักษาหากมีข้อบ่งชี้ รวมถึงคัดกรองมะเร็งตับตามข้อบ่งชี้

  • ผู้ที่ทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการรักษาทุกราย

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอออล์

  •  ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแต่แรกเกิด

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin)เนื่องจากสารพิษชนิดนี้สามารถทนความร้อนได้สูง ไม่สามารถทำลายได้ผ่านการทำอาหาร เช่น หัวหอม, ถั่วลิสง, พริกแห้ง และกระเทียมราขึ้น

มะเร็งตับสามารถรักษาหายได้ไหม?

มะเร็งตับที่ถูกตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก ไม่มีการกระจายออกนอกตับ และผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากตับแข็ง สามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัดซึ่งเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด ถ้าสภาพร่างกายหรือตำแหน่งก้อนไม่เหมาะที่จะทำการผ่าตัดอาจรักษาโดยใช้การจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยคลื่นไมโครเวฟ(microwave ablation)  แต่หากก้อนมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถผ่าตัดได้อาจรักษาด้วย การใส่สายสวนเพื่ออุดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง (TACE) การใส่สายสวนเพื่อให้ยาเคมีบำบัดเข้าก้อนมะเร็งอย่างช้าๆ (DEB-TACE)  แต่หากมีการกระจายของมะเร็งเข้าสู้เส้นเลือด หรือ กระจายออกนอกตับ อาจต้องใช้วิธีรักษาด้วยยาเช่น  ยาพุ่งเป้า(targeted therapy), การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherpay) ทั้งนี้โอกาสการรักษามะเร็งตับให้หายขึ้นอยู่กับสภาวะตับแข็ง ขนาด จำนวน การการะจายออกนอกตับและตำแหน่งของมะเร็งตับที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ การตรวจคัดกรองมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โดย เฉพาะผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีและผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งซึ่งทำให้เจอมะเร็งตับตั้งแต่ ระยะแรก ๆ และทำให้รักษามะเร็งตับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

บริการจากโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนขอเสนอบริการ โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งตับ ที่ช่วยตรวจประเมินสภาพและการทำงานของตับ นอกจากนี้การพบแพทย์ช่วยตรวจดูเลือดดูเอนไซม์ตับและทำอัลตราซาวด์ เพื่อป้องกันการเกิดโรคได้แก่ ตับติดเชื้อไวรัส ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ

ขอขอบคุณบทความจาก นายแพทย์ธราธิป ประคองวงษ์

 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

แผนกอายุรกรรม

● ชั้น 2 อาคารหมอบรัดเลย์ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

● เวลาทำการ

» ทุกวัน เวลา 06.30-19.30 น.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม, นัดหมายแพทย์ได้ที่

☎ 0-2625-9000, 0-2760-9000 ต่อ 20230, 20231

แผนกตรวจสุขภาพ

ตรวจสุขภาพ

● ชั้น 2 อาคารหมอแวลส์ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

● เวลาทำการ

» จันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-16.00 น.

» เสาร์ เวลา 07.00-15.00 น.

» อาทิตย์ 07.00-12.00 น.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม, นัดหมายแพทย์ได้ที่

☎ 0-2625-9000, 0-2760-9000 ต่อ 30210, 30211



Admin
โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
© Design By Launchplatform Co,.ltd 2024 ALL RIGHTS RESERVED.